บริษัทได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 ต่อมาในปี 2546 บริษัทได้แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนและได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 นอกจากนี้บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อประกอบธุรกิจที่แตกต่าง กันในปีต่างๆดังนี้
บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทจัดสรรที่ดินเพื่อขายและรับจ้างปลูกสร้างบ้านซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวทั้งหมด ต่อมาในปี 2548 บริษัทเริ่มขายบ้านสร้างก่อนขาย ทั้งบ้านเดี่ยวและ ทาวน์เฮ้าส์ 3 และ 4 ชั้น และในปี 2549 - 2554 บริษัทได้เพิ่มสินค้าหลักอีก 2 ประเภท คือ คอนโดมิเนียมตกแต่งพร้อมอยู่ และทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ตกแต่งพร้อมอยู่ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาด นอกจากนี้ในปี 2555 บริษัทได้ออกแบบทาวน์เฮ้าส์ 2 และ 3 ชั้นใหม่ โดย ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นแบบใหม่ชื่อ เดอะ วิลเลจ และทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นแบบใหม่ชื่อ เดลี่ ซึ่งทาวน์เฮาส์ทั้ง 2 แบบได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และ สำหรับแบบ เดอะ วิลเลจ บริษัทได้นำมาใช้ในการทำบ้านเดี่ยวด้วย รวมถึง ในปี 2557 บริษัทได้ออกแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้นแบบใหม่ ชื่อ อารียา โคโม่ และ ในปี 2558 บริษัทได้ออกแบบทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น แบบใหม่ชื่อ บริกก์
ในปี 2556 บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจคอมมิวนิตี้มอลล์ แถวสุขุมวิท 77 ชื่อ ว่า พิคคาเดลี่ แบงค็อก และในปี 2558 ได้เปิดอีกแห่ง ชื่อ ไลฟ์สไตล์คลับ (Life Style Club) อยู่ย่านเกษตร - นวมินทร์
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2557 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภท ชนิดระบุชื่อผู้ถือหุ้นหรือไม่ ระบุชื่อ มีหรือไม่มีหลักประกัน มีหรือไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิหรือ ไม่ด้อยสิทธิ วงเงินรวมไม่เกิน 3,000 ล้านบาท โดยจะออกและเสนอขาย เพียงชุดเดียวหรือหลายชุดในคราวเดียวกัน หรือหลายครั้งก็ได้
ในวันที่10 กันยายน 2557 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 9/2557 มีมติอนุมัติจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท อารียา คอนวีเนียน สโตร์ จำกัด ซึ่งเป็น บริษัทย่อยในประเทศไทยและมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อทำธุรกิจ ค้าปลีก
ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2558 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภท ชนิดระบุชื่อผู้ถือหุ้นหรือไม่ ระบุชื่อ มีหรือไม่มีหลักประกัน มีหรือไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิหรือ ไม่ด้อยสิทธิ วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท โดยจะออกและเสนอขาย เพียงชุดเดียวหรือหลายชุดในคราวเดียวกัน หรือหลายครั้งก็ได้
ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 220,000,000 บาท จาก เดิมทุนจดทะเบียน 980,000,000 ล้านบาท เป็น 1,200,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2559 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภท ชนิดระบุชื่อผู้ถือหรือไม่ระบุชื่อ มีหรือไม่มีหลักประกัน มีหรือไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิหรือไม่ด้อยสิทธิ วงเงินรวมไม่เกิน 3,000 ล้านบาท โดยจะออกและเสนอขายเพียงชุด เดียวหรือหลายชุดในคราวเดียวกัน หรือหลายครั้งก็ได้
ในวันที่ 5 ตุลาคม 2559 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 1,000 ล้านบาท (จำนวน 1,000,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2563 ทั้งนี้บริษัทสามารถไถ่ถอนได้ก่อนครบกำหนด
ในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัทได้ออกจำหน่ายห้นุกู้จำนวน 646.8 ล้านบาท (จำนวน 646,800 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอน ปี พ.ศ. 2562
ในวันที่ 20 ธันวาคม 2559 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2559 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภทชนิดระบุชื่อผู้ถือหรือไม่ระบุชื่อ มีหรือไม่มีหลักประกัน.มีหรือไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิหรือไม่ด้อย สิทธิ วงเงินรวมไม่เกิน 5,000 ล้านบาท โดยจะออกและเสนอขายเพียงชุดเดียวหรือหลายชุดในคราวเดียวกัน หรือหลายครั้งก็ได้
ในวันที่ 31 มกราคม 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 654.5 ล้านบาท (จำนวน 654,500 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอน ปี พ.ศ. 2563
ในวันที่ 5 เมษายน 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 1,500 ล้านบาท (จำนวน 1,500,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้มีประกันชนิด ระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนด ไถ่ถอนปี พ.ศ. 2563
ในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 842.3 ล้านบาท (จำนวน 842,300 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดทยอยคืน เงินต้น ระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2561 ชุดที่ 2 ครบกำหนด ไถ่ถอนปี พ.ศ. 2562 ชุดที่ 3 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2563 และชุดที่ 4 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2564
ในไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัท อารียา ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด ได้เพิ่มทุนบริษัท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 90,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวม จำนวนเงิน 9 ล้านบาท ทำให้ทุนหุ้นสามัญที่เรียกชำระแล้วเพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านบาท เป็น 10 ล้านบาท และได้จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561
ในวันที่ 18 ตุลาคม 2561 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 250 ล้านบาท (จำนวน 250,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอน ปี พ.ศ. 2564
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 166.6 ล้านบาท (จำนวน 166,600 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุ ชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนด ไถ่ถอนปี พ.ศ. 2565
ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 บริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินการจำนวน 62 โครงการ และมีอีก 2 โครงการที่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ รวมทั้งสิ้น 64 โครงการ ดังนี้
ลำดับ | โครงการ |
ที่ตั้ง |
ประเภทสินค้า |
1. | อารียา บุษบา | ลาดพร้าว 130 | บ้านเดี่ยว |
2. | อารียา สวนา 3 | เกษตร-นวมินทร์ | บ้านเดี่ยว |
3. | อารียา เมทโทร | เกษตร-นวมินทร์ | บ้านเดี่ยว |
4. | อารียา โคโม่ บางนา | บางนา | บ้านเดี่ยว |
5. | เดอะ วิลเลจ แจ้งวัฒนะ-ติวานนท์ | แจ้งวัฒนะ-ติวานนท์ | บ้านเดี่ยว/บ้านแฝด |
6. | เดอะ วิลเลจ คอทเทจ กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ | ไทรน้อย | บ้านเดี่ยว |
7. | อารียา โคโม่ บางนา - วงแหวนฯ | บางนา | บ้านเดี่ยว |
8. | อารียา โคโม่ วงแหวนฯ - รามอินทรา | หทัยราษฎร์ | บ้านเดี่ยว |
9. | อารียา ดอนเมือง สรงประภา | ดอนเมือง - สรงประภา | บ้านเดี่ยว |
10. | อารียา โคโม่ ลาดกระบัง - สุวรรณภูมิ | ลาดกระบัง - สุวรรณภูมิ | บ้านเดี่ยว |
11. | อารียา โคโม่ วงแหวนฯ - ราชพฤกษ์ | บางบัวทอง | บ้านเดี่ยว |
12. | ดิ เอวา เรสซิเดนซ์ | สุขุมวิท 77 | บ้านเดี่ยว |
13. | อารียา บุษบา ลาดพร้าว - เสรีไทย | เสรีไทย | บ้านเดี่ยว |
14. | อารียา โคโม่ พรีโม่ บางนา - วงแหวนฯ | บางนา | บ้านเดี่ยว |
15. | อารียา แอทโฮม | เกษตร - นวมินทร์ | ทาวน์เฮ้าส์ |
16. | เดอะ คัลเลอร์ แจ้งวัฒนะ - ติวานนท์ | แจ้งวัฒนะ - ติวานนท์ | ทาวน์เฮ้าส์ |
17. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม บางนา | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
18. | เดอะ คัลเลอร์ส บางนา ก.ม.10 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
19. | เดอะ วิลเลจ บางนา | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
20. | เดอะ คัลเลอร์ส เลชเชอร์ บางนา ก.ม. 8 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
21. | เดอะ วิลเลจ กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
22. | ดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม กาญจนาภิเษก – ราชพฤกษ์ | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
23. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม วงแหวนฯ - รามอินทรา | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
24. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม รังสิต - ลำลูกกา | หทัยราษฎร์ | ทาวน์เฮ้าส์ |
25. | เดอะ คัลเลอร์ส วงแหวนฯ - รามอินทรา | หทัยราษฎร์ | ทาวน์เฮ้าส์ |
26. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม บางนา - วงแหวนฯ | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
27. | เดอะ คัลเลอร์ส บางนา - วงแหวนฯ | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
28. | เดอะ วิลเลจ บางนา - วงแหวนฯ | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
29. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม วงแหวนฯ - ราชพฤกษ์ | บางบัวทอง | ทาวน์เฮ้าส์ |
30. | เดอะ คัลเลอร์ส วงแหวนฯ - ราชพฤกษ์ | บางบัวทอง | ทาวน์เฮ้าส์ |
31. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม กาญจนาภิเษก – ราชพฤกษ์ 2 | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
32. | เดอะ วิลเลจ บางนา – วงแหวนฯ 2 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
33. | เดอะ คัลเลอร์ส รังสิต - คลอง 4 | รังสิต | ทาวน์เฮ้าส์ |
34. | เดอะ วิลเลจ กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ 2 | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
35. | เดอะ เพลส กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ 2 | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
36. | เดอะ คัลเลอร์ส กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ 2 | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
37. | เดอะ คัลเลอร์ส พรีเมี่ยม กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ 3 | ไทรน้อย | ทาวน์เฮ้าส์ |
38. | อารียา บริกก์ บางนา กม.10 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
39. | อารียา บริกก์ บางนา - วงแหวนฯ | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
40. | เดอะคัลเลอร์ส วงแหวนฯ - รามอินทรา 2 | หทัยราษฎร์ | ทาวน์เฮ้าส์ |
41. | เดอะ คัลเลอร์ส มิกซ์ รังสิต - วงแหวนฯ | รังสิต | ทาวน์เฮ้าส์ |
42. | เดอะ วิลเลจ รังสิต - วงแหวนฯ | รังสิต | ทาวน์เฮ้าส์ |
43. | อารียา บริกก์ รังสิต – คลอง4 | รังสิต | ทาวน์เฮ้าส์ |
44. | อารียา บริกก์ รังสิต - วงแหวนฯ | รังสิต | ทาวน์เฮ้าส์ |
45. | เดอะ คัลเลอร์ส บางนา - วงแหวนฯ 2 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
46. | เดอะ วิลเลจ เอ็กซ์คลูซีฟ บางนา ก.ม.10 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
47. | เดอะ วิลเลจ เอ็กซ์คลูซีฟ บางนา ก.ม.10 - 2 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
48. | เดอะ วิลเลจ หทัยราษฎร์ - วงแหวนฯ | วงแหวนฯ - รามอินทรา | ทาวน์เฮ้าส์ |
49. | เดอะ วิลเลจ บางนา – วงแหวนฯ 2 | บางนา | ทาวน์เฮ้าส์ |
50. | เดอะ คัลเลอร์ส วงแหวนฯ – ราชพฤกษ์ 2 | บางบัวทอง | ทาวน์เฮ้าส์ |
51. | อารียา บริกก์ รังสิต - วงแหวนฯ 2 | รังสิต | ทาวน์เฮ้าส์ |
52. | เอ สเปซ อโศก – รัชดา | อโศก - รัชดา | คอนโดมิเนียม |
53. | เอ สเปซ เกษตร | เกษตร - นวมินทร์ | คอนโดมิเนียม |
54. | เอ สเปซ เพลย์ รัชดา - สุทธิสาร | รัชดา - สุทธิสาร | คอนโดมิเนียม |
55. | เอ สเปซ สุขุมวิท 77 | สุขุมวิท 77 | คอนโดมิเนียม |
56. | เอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา | อโศก - รัชดา | คอนโดมิเนียม |
57. | เอ สเปซ มี บางนา | บางนา | คอนโดมิเนียม |
58. | เอ สเปซ มี สุขุมวิท 77 | สุขุมวิท 77 | คอนโดมิเนียม |
59. | เอ สเปซ มี รัตนาธิเบศร์ | รัตนาธิเบศร์ | คอนโดมิเนียม |
60. | เอ สเปซ เมกา | บางนา | คอนโดมิเนียม |
61. | เฉลิมนิจ อาร์ต เดอ เมซอง | สุขุมวิท | คอนโดมิเนียม |
62. | เอ สเปซ เมกา 2 | บางนา | คอนโดมิเนียม |
63. | Pickadaily Bangkok | สุขุมวิท 77 | คอมมิวนิตี้ มอลล์ |
64. | Life Style Club | เกษตร - นวมินทร์ | คอมมิวนิตี้ มอลล์ |
รายได้ของบริษัทประกอบด้วยรายได้จากการขายที่ดินและบ้านซึ่งรับรู้เมื่อได้รับชำระครบถ้วนตามสัญญาจะซื้อจะขายและได้โอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อแล้ว และรายได้จากการรับจ้างสร้างบ้าน ซึ่งรับรู้รายได้ตามสัดส่วนของงานที่ทำเสร็จ โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากการขายที่ดินและบ้าน
ตารางยอดขายและรับรู้รายได้สำหรับปี 2561 - 2559 ของบริษัท โดยแยกตามประเภทของอสังหาริมทรัพย์
ประเภท | ขาย | |||||
2561 | 2560 | 2559 | ||||
หน่วย | ล้านบาท | หน่วย | ล้านบาท | หน่วย | ล้านบาท | |
คอนโด | 1,559 | 3,966 | 1,881 | 4,246 | 491 | 1,030 |
บ้านเดี่ยว | 148 | 751 | 159 | 845 | 161 | 780 |
ทาวน์เฮ้าส์/บ้านแฝด | 1,774 | 4,874 | 2,255 | 6,035 | 1,205 | 3,075 |
ที่ดิน | 1 | 20 | 1 | 2 | - | - |
ยอดรวม | 3,482 | 9,611 | 4,296 | 11,128 | 1,857 | 4,885 |
% เพิ่มขึ้น (ลดลง) จากปีก่อน | -19% | -14% | 131% | 128% | 6% | 10% |
ประเภท | โอน | |||||
2561 | 2560 | 2559 | ||||
หน่วย | ล้านบาท | หน่วย | ล้านบาท | หน่วย | ล้านบาท | |
คอนโด | 315 | 980 | 637 | 1,569 | 636 | 1,330 |
บ้านเดี่ยว | 76 | 416 | 155 | 783 | 139 | 686 |
ทาวน์เฮ้าส์/บ้านแฝด | 925 | 2,520 | 1,034 | 2,604 | 1,032 | 2,627 |
ที่ดิน | 1 | 20 | 1 | 2 | - | - |
ยอดรวม | 1,317 | 3,936 | 1,827 | 4,958 | 1,807 | 4,643 |
% เพิ่มขึ้น (ลดลง) จากปีก่อน | -28% | -21% | 1% | 7% | -4% | -14% |
คอนโดมิเนียม สำหรับปี 2561 ยอดขายคอนโดมิเนียมเท่ากับ 3,966 ล้านบาทโดยลดลง จากปี 2560 จำนวน 280 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2561 มีโครงการเปิดใหม่ ในระหว่างปีเพียง 1 โครงการ คือ โครงการเอ สเปซ เมกา 2 ในขณะเดียวกัน โครงการที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วก็ยังคงสร้างยอดขายได้อยู่
ยอดขายหลักมาจากโครงการ เอ สเปซ เมกา 2 และ เอ สเปซ เมกา ที่มี ยอดขายในปีนี้จำนวน 2,409 ล้านบาท โดยโครงการ เอ สเปซ เมกา 2 เป็น โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2561 และ โครงการ เอ สเปซ เมกา เป็นโครงการ ที่ดำเนินงานต่อเนื่องมาจากปลายปีก่อน ในขณะที่โครงการเอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่แล้ว มียอดขายลดลงจาก ปีที่แล้ว โดยปีนี้มียอดขายอยู่ที่ 600 ล้านบาท นอกจากนั้นโครงการอื่นๆ ของบริษัทยังสามารถสร้างยอดขายได้ โดยเฉพาะโครงการเฉลิมนิจ อาร์ต เดอ เม ซอง, เอ สเปซ มี รัตนาธิเบศร์, เอ สเปซ มี บางนา และ เอ สเปซ มี สุขุมวิท 77 ที่มียอดขายรวมกันในงวดนี้ 954 ล้านบาท
ส่วนยอดโอนของคอนโดมิเนียมสำหรับปี 2561 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560 นั้น บริษัทรับรู้รายได้จากคอนโดมีเนียมลดลงจากปีที่แล้วจำนวน 589 ล้าน บาท โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากโครงการเดิมที่ต่อเนื่องมาจากปีที่ แล้วจำนวน 3 โครงการหลัก ได้แก่ เอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา, เอ สเปซ มี สุขุมวิท 77 และ เอ สเปซ มี รัตนาธิเบศร์ ที่มียอดรับรู้รายได้ในปี 2561 ที่ 568 ล้านบาท, 277 ล้านบาท และ 102 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนั้น เป็นรายได้จากคอนโดมิเนียมโครงการอื่นๆ จำนวน 33 ล้านบาท
สำหรับปี 2560 ยอดขายคอนโดมิเนียมเท่ากับ 4,246 ล้านบาทโดยเพิ่ม ขึ้นจากปี 2559 จำนวน 3,216 ล้านบาท โดยหลักเป็นผลมาจากรายได้ โครงการที่เปิดใหม่ในระหว่างปี และการขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าในต่าง ประเทศ ในขณะเดียวกันโครงการที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วก็ยังคงสร้าง ยอดขายได้อยู่
ยอดขายหลักมาจากโครงการ เอ สเปซ เมกา และ เอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา ที่มียอดขายในปีนี้จำนวน 2,808 ล้านบาท โดยโครงการ เอ สเปซ เมกา เป็นโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2560 ส่วนโครงการ เอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา เป็นโครงการที่ดำเนินงานต่อเนื่องมาจากปีก่อน ในระหว่าง ปียังมีโครงการที่เปิดตัวใหม่อีก 1 โครงการคือ เฉลิมนิจ อาร์ต เดอ เม ซอง ซึ่งสร้างยอดขาย 312 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนั้นโครงการอื่นๆของบริษัท ก็ยังสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นในงวดนี้เช่นกัน โดยเฉพาะโครงการ เอ สเปซ มี รัตนาธิเบศร์, เอ สเปซ มี บางนา และ เอ สเปซ มี สุขุมวิท 77 ที่มี ยอดขายรวมกันในงวดนี้กว่า 1,121 ล้านบาท ด้วยสาเหตุนี้ จึงทำให้ยอด ขายรวมของงวดนี้สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน
ส่วนยอดโอนของคอนโดมิเนียมสำหรับปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 นั้น บริษัทรับรู้รายได้จากคอนโดมีเนียมสูงขึ้นจากปีที่แล้วจำนวน 239 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากโครงการเดิมที่ต่อเนื่องมา จากปีที่แล้วจำนวน 3 โครงการหลัก ได้แก่ เอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา, เอ สเปซ มี บางนา และ เอ สเปซ มี สุขุมวิท 77 ที่มียอดรับรู้รายได้ในปี 2560 ที่ 742 ล้านบาท, 250 ล้านบาท และ 339 ล้านบาท ตามลำดับ ประกอบกับ มีโครงการใหม่ที่เริ่มโอนในระหว่างปีคือ เอ สเปซ มี รัตนาธิเบศร ์ ซึง่ รบั รรู้ าย ได้ในปีนี้จำนวน 215 ล้านบาท นอกจากนั้นเป็นรายได้จากคอนโดมิเนียม โครงการอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาที่จำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์ จะพบว่ามี จำนวนหน่วยไม่แตกต่างไปจากปีที่แล้ว แต่บริษัทสามารถทำรายได้ได้สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของราคาขายที่สูงขึ้นจากปีที่แล้ว
บ้านเดี่ยว สำหรับปี 2561 ยอดขายบ้านเดี่ยวลดลงจากปี 2560 จำนวน 94 ล้านบาท เนื่องมาจากบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ในช่วงปลายปี 2561 จึง ทำให้ยังไม่มียอดขายจากโครงการใหม่เข้ามาในงวด โดยยอดขายที่เข้ามา ส่วนใหญ่ยังคงเป็นของโครงการที่ดำเนินงานต่อเนื่องมาจากปีก่อน เช่น อารียา โคโม่ วงแหวนฯ - รามอินทรา, อารียา โคโม่ วงแหวนฯ - ราชพฤกษ์, เดอะวิลเลจ คอทเทจ กาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์ และ อารียา เมทโทร เกษตร ที่มียอดขายรวมเป็นจำนวน 538 ล้านบาท
ส่วนของยอดโอนสำหรับปี 2561 ลดลงจากปี 2560 จำนวน 367 ล้าน บาท เนื่องมาจากเนื่องมาจากบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ใน ช่วงปลายปี 2561 จึงทำให้ยังไม่มียอดโอนมาจากโครงการใหม่ โดยยอดที่ เข้ามายังคงเป็นของโครงการที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปีก่อน เช่น อารียา โคโม่ วงแหวนฯ - ราชพฤกษ์, เดอะวิลเลจ คอทเทจ กาญจนา ภิเษก - ราชพฤกษ์, เดอะคัลเลอร์ส ดอนเมือง สรงประภา เฟส 2 และอารี ยา เมทโทร เกษตร ที่มียอดขายรวมเป็นจำนวน 257 ล้านบาท
สำหรับปี 2560 ยอดขายบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นจากปี 2559 จำนวน 65 ล้านบาท เป็นผลมาจากบริษัทได้เปิดโครงการใหม่ในปี 2560 "ดิ เอวา เรสซิเดนซ์" ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนทำเลสุขุมวิท 77 โดยมีราคาขายเริ่มต้นที่ 30 ล้านบาท การเปิดตัวโครงการนี้ ทำให้บริษัทได้รับยอดขายเพิ่มขึ้นจำนวน 123 ล้านบาท นอกเหนือจากยอดขายจากโครงการใหม่ข้างต้น โครงการ ที่ดำเนินงานต่อเนื่องมาจากปีก่อน เช่น อารียา โคโม่ บางนา - วงแหวนฯ และ อารียา โคโม่ วงแหวนฯ - รามอินทรา ก็สามารถทำยอดขายได้เพิ่ม ขึ้นในปีนี้ด้วย ด้วยสาเหตุนี้ จึงทำให้ยอดขายรวมของงวดนี้สูงกว่างวด เดียวกันของปีก่อน
ส่วนของยอดโอนสำหรับปี 2560 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จำนวน 97 ล้าน บาท เป็นผลมาจากโครงการใหม่ในปี 2560 "ดิ เอวา เรสซิเดนซ์" ที่เริ่ม โอนกรรมสิทธิ์ในปี 2560 นี้ ทำให้ยอดโอนเพิ่มขึ้น 74 ล้านบาท ประกอบ กับโครงการที่สร้างเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปลายปี 2559 เช่น อารียา โคโม่ บางนา - วงแหวนฯ และ อารียา วงแหวนฯ - รามอินทรา ก็ยังคงโอน กรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นในปี 2560 ทำให้สามารถรับรู้รายได้ กว่า 480 ล้านบาทในปีนี้ ด้วยสาเหตุนี้ จึงทำให้ยอดโอนของงวดนี้สูงกว่า งวดเดียวกันของปีก่อน
ทาวน์เฮ้าส์ เป็นสินค้าหลักของบริษัท โดยเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้น้อยถึงปาน กลางค่อนข้างสูง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 มีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินงาน ทั้งหมดรวม 37 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 16,271 ล้านบาท หรือ จำนวน 6,398 หน่วย ซึ่งมีจำนวนโครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์แล้วจำนวน 36 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 16,249 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากการ โอนกรรมสิทธิ์สำหรับปี 2561 เท่ากับ 2,520 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงานทั้งหมดรวม 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 11,828 ล้านบาท หรือจำนวน 4,423 หน่วย ซึ่งมีจำนวนโครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์แล้วจำนวน 23 มูลค่า โครงการรวม 11,773 ล้านบาท และรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ สำหรับปี 2560 เท่ากับ 2,604 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีโครงการอยู่ระหว่างดำเนินงานทั้งหมดรวม 30 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,059 ล้านบาท หรือจำนวน 5,579 หน่วย ซึ่งมีจำนวนโครงการที่เริ่มโอนในปี 2559 จำนวน 9 โครงการมูลค่าขาย รวม 4,260 ล้านบาท และรับร้รู ายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์สำ หรับปี 2559 เท่ากับ 2,627 ล้านบาท
ต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับปี 2561 ลดลงจากปี 2560 จาก 3,302 ลา้ นบาทเป็น 2,475 ลา้ นบาท คดิ เป็น ตน้ ทนุ ขายลดลงจำ นวน 827 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 โดยเป็นการลดลงในต้นทุนขายของ บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์จำนวน 388 ล้านบาท และการลดลงของ ต้นทุนขายของคอนโดมีเนียมจำนวน 439 บาท ซึ่งต้นทุนขายที่ลดลง นี้เป็นสัดส่วนเดียวกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง ในปีนี้ โดยอัตรากำไรขั้นต้นของปี 2561และ 2560 เท่ากับร้อยละ 37 และร้อยละ 33 ตามลำดับ
ต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับปี 2560 เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จาก 3,056 ล้านบาทเป็น 3,302 ล้านบาท คิดเป็น ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น จำนวน 246 ล้านบาท หรือร้อยละ 8% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในต้นทุน ขายของบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์จำนวน 102 ล้านบาท และการเพิ่ม ขึ้นในต้นทุนขายของคอนโดมีเนียมที่ 144 ล้านบาท ซึ่งต้นทุนขายนี้ ปรับเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้นปีนี้ โดยอัตรากำไรขั้นต้นของปี 2560 และ 2559 เท่ากับ ร้อยละ 33 และร้อยละ 34 ตามลำดับ
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์ ลดลงจากปี 2558 ประมาณ ร้อยละ 24 (ต้นทุนขายปี 2559 จำนวน 3,056 ล้านบาท, ปี 2558 จำนวน 4,017 ล้านบาท) ซึ่งสาเหตุหลัก จากการลดลงของต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์เกิดจากต้นทุนของ การขายที่ดินจำนวน 862 ล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2558 อย่างไร ก็ตาม ไม่มีรายการขายที่ดินเกิดขึ้นในปี 2559 นี้ ดังนั้นเมื่อพิจารณา ต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์เฉพาะส่วนที่เป็นของบ้านและคอนโดมี เนียม จะพบว่าต้นทุนจากการขายบ้านและคอนโดมีเนียมลดลงจาก ปีที่แล้วถึง 99 ล้านบาท เนื่องมาจากบริษัทมีการบริหารต้นทุนที่ดี ขึ้นทำให้มีการรับรู้ต้นทุนจากการขายบ้านลดลง 317 ล้านบาท ส่วน ต้นทุนของโครงการคอนโดมิเนียมมีมูลค่าที่รับรู้ต้นทุนขายเพิ่มจาก ปีก่อนประมาณ 218 ล้านบาท เนื่องจากได้เริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการ ใหม่ในช่วงปลายปี 2558 และช่วงไตรมาส 2 ปี 2559เพิ่มเติมจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ เอ สเปซ มี สุขุมวิท 77 และ เอ สเปซ ไอ.ดี. อโศก - รัชดา
บริษัทมีกำไรขั้นต้นในสำหรับปี 2561 และปี 2560 จำนวน 1,460 ล้านบาท และ 1,656 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 37 และ 33 ตามลำดับ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2561 มีสาเหตุ มาจากบริษัทมีการบริหารต้นทุนขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นได้มากกว่าปี 2560
บริษัทมีกำไรขั้นต้นในสำหรับปี 2560 และปี 2559 จำนวน 1,656 ล้านบาท และ 1,587 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 33 และ 34 ตามลำดับ ซึ่งไม่มีความแตกต่างอย่างเป็นสาระสำคัญสำหรับอัตรา กำไรขั้นต้นของทั้งสองปี โดยแนวโน้มในอนาคตบริษัทจะมีการบริหาร ต้นทุนขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คาดว่าจะสามารถทำอัตรา กำไรขั้นต้นได้เพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากมูลค่า ยุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 2 ล้านบาท บริษัทบันทึกอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยมูลค่ายุติธรรมซึ่ง ประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระ โดยใช้เกณฑ์วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) ข้อสมมติฐานหลักที่ใช้ในการประเมินราคา ดังกล่าวประกอบด้วย อัตราการเช่าพื้นที่ อัตราการเพิ่มค่าเช่า อัตราคิดลด และอัตราผลตอบแทน นอกจากนั้นเป็นรายได้จากค่า เช่าและค่าบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และราย ได้ประเภทอื่นๆของบริษัท ตามรายงานของผู้ประเมินราคาลงวันที่ 28 ธันวาคม 2561
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากมูลค่า ยุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 33 ล้านบาท บริษัทบันทึกอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยมูลค่ายุติธรรมซึ่ง ประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระ โดยใช้เกณฑ์วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) ข้อสมมติฐานหลักที่ใช้ในการประเมินราคา ดังกล่าวประกอบด้วย อัตราการเช่าพื้นที่ อัตราการเพิ่มค่าเช่า อัตราคิดลด และอัตราผลตอบแทน นอกจากนั้นเป็นรายได้จากค่า เช่าและค่าบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และราย ได้ประเภทอื่นๆของบริษัท ตามรายงานของผู้ประเมินราคาลงวันที่ 17 มกราคม 2561
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทมีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากมูลค่า ยุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจำนวน 44 ล้านบาท บริษัทบันทึกอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยมูลค่ายุติธรรมซึ่ง ประเมินโดยผู้ประเมินราคาอิสระ โดยใช้เกณฑ์วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) ตามรายงานของผู้ประเมินราคาลงวันที่ 5 มกราคม 2560 และ 3 กุมภาพันธ์ 2560
ประเภท | โอน | ||||||||
2561 | 2560 | 2559 | |||||||
ล้านบาท | ยอดโอน | % ต่อยอดโอน | ล้านบาท | ยอดโอน | % ต่อยอดโอน | ล้านบาท | ยอดโอน | % ต่อยอดโอน | |
ค่าใช้จ่ายในการขาย | 716.7 | 3,936.1 | 18.2% | 742.8 | 4,958.1 | 15.0% | 519.3 | 4,643.3 | 11.2% |
% เพิ่มขึ้น (ลดลง) จากปีก่อน | (26.1) | 3.2% | 223.5 | 3.8% | (16.5) | (1.6%) |
ค่าใช้จ่ายในการขายหลักของบริษัทและบริษัทย่อยประกอบด้วยค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์และค่าใช้จ่ายทางการตลาด และ ค่าธรรมเนียมการโอน กรรมสิทธิ์ ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายอื่น ๆ โดยค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าภาษีธุรกิจเฉพาะจะแปรผันตาม รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ โดยในปี 2561 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560 พบว่ายอดโอนลดลง จึงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลดลงตาม ไปด้วย นอกจากนี้ยังลดลงจากค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของป้ายโฆษณา แต่ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการสร้าง แบรนด์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลระยะยาวต่อยอดขายและกำไรของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 บริษัทมียอดโอนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนั้น บริษัทมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายใน การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของค่าสื่อออนไลน์ และการจัด Event ต่างๆ และในปี 2560 บริษัทเริ่มขยายกลุ่มฐานลูกค้าไปยัง ต่างประเทศ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จากการบุกเบิกตลาดต่างประเทศของบริษัทในครั้งนี้ ทำให้บริษัทได้รับยอดขายจากต่างประเทศ กว่า 1,049 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของยอดโอนปี 2560
สำหรับปี 2559 มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะในส่วนของป้าย ค่าสื่อออนไลน์ และการจัด Event ต่างๆ ทำให้ค่าใช้จ่าย ส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว
อย่างไรก็ดีในปี 2559 รัฐบาลได้ออกนโยบายลด ค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 1 เหลือเพียงอย่างละร้อยละ 0.01 ในเดือนมกราคมถึงเมษายน 2559 ดังนั้นจึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายโดยรวมสำหรับปี 2559 ลดลงแม้ว่าจะมียอดโอนเพิ่มขึ้นก็ตาม
ประเภท | โอน | ||||||||
2561 | 2560 | 2559 | |||||||
ล้านบาท | ยอดโอน | % ต่อ ยอดโอน | ล้านบาท | ยอดโอน | % ต่อ ยอดโอน | ล้านบาท | ยอดโอน | % ต่อ ยอดโอน | |
ค่าใช้จ่ายในการ
บริหาร |
552.0 | 3,936.1 | 14.0% | 577.7 | 4,958.1 | 11.7% | 523.9 | 4,643.3 | 11.3% |
% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน | (25.7) | 2.3% | 53.8 | 0.4% | 87.9 | 0.9% |
สำหรับปี 2561 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารน้อยกว่าปี 2560 จำนวน 25.7 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดูแลบ้านก่อน ส่งมอบและค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงการ เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นนโยบายในการควบคุมการก่อสร้าง รวมถึงการบริหารสินค้าคงเหลือ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ส่วนนี้
สำหรับปี 2560 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารมากกว่าปี 2559 จำนวน 53.8 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้ ค่าใช้จ่ายดูแลบ้านก่อน ส่งมอบ และค่าใช้จ่ายในการดูแลโครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นตามจำนวนยูนิตของบ้านที่สร้างเสร็จและจำนวนโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงจาก 39 โครงการ ในปี 2559 เป็น 56 โครงการในปี 2560 และเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าบริหารงาน เพื่อให้สามารถรองรับกับงานที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัว ของธุรกิจ อย่างไรก็ดี สัดส่วนค่าใช้จ่ายบริหารต่อยอดโอนระหว่างปี 2560 และ 2559 ไม่แตกต่างกันมากนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในขณะที่ยอดโอนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 315 ล้านบาท
สำหรับปี 2561 บริษัทมีต้นทุนทางการเงินจำนวน 227 ล้านบาท ในขณะที่ ปี 2560 มีต้นทุนทางการเงินจำนวน 260 ล้านบาท โดยต้นทุนทางการเงิน ลดลง 33 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ส่วนใหญ่ลดลงมาจากดอกเบี้ย ตั๋วแลกเงิน ที่มีการลงทุนเพิ่มในช่วงปลายปี 2561 จำนวน 102 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2560 มีการลงทุนตั๋วแลกเงินในช่วงต้นปี จึงส่งผลให้ในภาพรวม ดอกเบี้ยตั๋วแลกเงินเพิ่มขึ้น รวมถึงการลดลงของค่าธรรมเนียมธนาคาร และจำนวนคงค้างของหุ้นกู้ที่ลดลงจากปี 2560 จำนวน 608 ล้านบาท
สำหรับปี 2560 บริษัทมีต้นทุนทางการเงินจำนวน 260 ล้านบาท ในขณะ ที่ปี 2559 มีต้นทุนทางการเงินจำนวน 237 ล้านบาท โดยต้นทุนทางการ เงินเพิ่มขึ้น 23 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นมาจาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ และค่าธรรมเนยีมในการออกหุ้นกู้ ในระหวา่ งปี 2560 บริษทั ได้ออกหุ้นกู้ จำนวน 2,997 ล้านบาท และมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด จำนวน 3,000 ล้านบาท
สำหรับปี 2559 บริษัทมีต้นทุนทางการเงินจำนวน 237 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2558 มีจำนวน 166 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ส่วนใหญ่เกิดจากดอกเบี้ย หุ้นกู้เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากในเดือน ตุลาคม 2558 มีการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านบาท ในเดือนเมษายน 2559 มีการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น 1,353.20 ล้านบาท (ในเดือนเมษายน 2559 มีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดจำนวน 511 ล้านบาท ในเดือนเดียวกัน) และในเดือนตุลาคม 2559 มีการออกหุ้น กู้เพิ่มขึ้น 647 ล้านบาท
สำหรับปี 2561บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 31 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของรายได้รวม ในขณะที่ปี 2560 มีกำไรสุทธิจำนวน 98 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 2 โดยมีกำไรสุทธิลดลง 67ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 68 โดยหลัก เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และค่าใช้ จ่ายในการสร้างแบรนด์ที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทเล็งเห็นถึงผลระยะยาวต่อยอด ขายและกำไรของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถ บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 98 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2 ของรายได้รวม ในขณะที่ปี 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 263 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6 โดยมีกำไรสุทธิลดลง 165 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 63 โดยหลักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขาย เช่น ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ค่าป้ายโฆษณาโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในส่วนของค่าสื่อออนไลน์ และการจัด Event ต่างๆ นอกจากนั้น ในปี 2560 บริษัทมีการขยายกลุ่มฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ จึงทำให้ค่าใช้จ่าย ส่วนนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามการเพิ่มการลงทุนในการโฆษณา และประชาสัมพันธ์ของบริษัทในปีนี้ บริษัทได้มีการวิเคราะห์ถึงกลุ่มลูกค้า อย่างละเอียด และเลือกใช้วิธีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น ทางออนไลน์ หรือออฟไลน์ที่มุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ โดยตรง รวมทั้งการเปิดตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลระยะยาว ต่อยอดขายและกำไรที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นอกจากนั้นในปี 2560 บริษัทมีผลขาดทุนจากการประมาณการตามหลัก คณิตศาสตร์จำนวน 23 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนสมมติฐานในการ คำนวณหนี้สินผลประโยชน์พนักงาน โดยรายการนี้แสดงอยู่ในงบกำไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและไม่มีผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นของบริษัท
สำหรับปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 263 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จาก 217 ล้านบาท ของปี 2558 ปัจจัยหลักจากการเพิ่มขึ้นของกำไร สุทธิเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และ สามารถบริหารต้นทุนให้มีต้นทุนลดลง
จากผลการดำเนินงานที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อพิจารณาถึงอัตราส่วนแสดง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท (Profitability Ratio) สำหรับ ปี 2561, 2560 และ 2559 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น ร้อยละ 37, 33 และ 34 ตามลำดับ และบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 0.8, 2 และ 6 ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน บริษัทมีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น เท่ากับร้อย ละ 4, 3 และ 8 สำหรับปี 2561, 2560 และ 2561 ตามลำดับ
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังคงมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายธุรกิจมีแผน ลงทุนซื้อที่ดินที่มีศักยภาพสำ หรับเปิดโครงการใหม่ใน ปี 2561มากขึ้น โดยธุรกิจขนาดใหญ่จะเน้นกลุ่มลูกค้า ตลาดกลาง-บน มากขึ้น และมีแนวโน้มลงทุนพัฒนาเป็น โครงการ อสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed use) เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนราคาที่ดินปรับสูงขึ้นมาก ไม่สามารถคุ้มทุน หากพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม เพียงอย่างเดียวขณะที่คาดว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคจะมีแนวโน้มทรงตัว จาก กำ ลังซื้อในต่างจังหวัดที่มีอยู่จำ กัด ประกอบกับ หลายธุรกิจยังคงมีที่อยู่อาศัยคงค้างอยู่ ทั้งนี้ ผู้ประกอบ การให้ความเห็นว่ารัฐบาลควรเพิ่ม การก่อสร้างทางด่วน และขยายเส้นทางถนนใหม่ๆ รอบตัวเมืองกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด เพราะจะ ช่วยเพิ่มทำ เลใหม่ที่เหมาะสมสำ หรับ พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และยังช่วยการกระจาย ตัวของเศรษฐกิจ
ผู้ประกอบการหลายรายเห็นว่านักลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อน สำ คัญที่ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ใน ระยะหลังพบว่านักลงทุนระยะยาวที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อปล่อยเช่าหรือถือครองระยะยาวเริ่มอิ่มตัว เนื่องจากมีการลงทุนติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายปี ประกอบกับ ผลตอบแทนการเช่าลดลง (คาดว่าต่ำ กว่าร้อยละ 6 ต่อปี) ทำ ให้ความน่าสนใจที่จะลงทุนน้อยลง ดังนั้นความต้องการ ซื้อจากกลุ่มนักลงทุนในระยะต่อไปอาจไม่เร่งตัวขึ้นมาก นักเพราะจะลงทุนด้วยความระมัดระวังและเลือกสรร สินค้าอย่างดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลุ่ม นักลงทุนชาวจีนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำ ให้ราคา ของอสังหาริมทรัพย์ในบางโครงการและบางพื้นที่ เช่น พัทยาปรับเพิ่มขึ้น และมองว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม ลูกค้าที่มีรายได้ ระดับกลาง-ล่าง ซึ่งถือเป็นอุปสรรค สำ คัญในการดำ เนินธุรกิจ จึงเห็นว่าธนาคารพาณิชย์ควร เพิ่ม ความยืดหยุ่นในการพิจารณาให้สินเชื่อ และมีเกณฑ์ ในการให้สินเชื่อลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลาง-ล่างที่ต่าง ออกไป หรือพิจารณาเกณฑ์ผู้ติดเครดิตบูโรที่ชำ ระหนี้ เรียบร้อยแล้วเพียง 2 ปีจากเดิมที่ต้องรอถึง 3 ปี นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์หันมา พิจารณาแนวทางการให้สินเชื่อแบบ Pre-mortgage เช่น เดียวกับธนาคารในสิงคโปร์และมาเลเซีย เพื่อแก้ไขปัญหา การขอสินเชื่อไม่ผ่านเมื่อถึงเวลาโอนที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้ผู้ประกอบการเห็นว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้ง พื้นที่ให้เช่า ใน Community mall เปิดใหม่ และการลงทุนใน โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed use จึงมีความกังวลว่า จะเกิดปัญหาอุปทานส่วนเกินในบางพื้นที่ในอนาคต อีก ทั้งยังมองว่าปัจจุบันผู้เช่า ร้านค้าในหลายกิจการ เช่น ร้านขายเสื้อผ้า โรงเรียนกวดวิชา รวมถึงกิจกรรมบันเทิง ต่างได้รับผลกระทบ จากธุรกิจออนไลน์ที่เข้ามาแข่งขัน การปล่อยพื้นที่ให้ เช่าจึงมีความเสี่ยงและควรต้องใช้ ผู้เชี่ยวชาญ ในการบริหารดังจะเห็นได้จาก Community mall หลายแห่งต้องปิดกิจการไป ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังมี การปล่อยสินเชื่อให้กับการลงทุนประเภทนี้ค่อนข้างมาก
2561
|
2560
|
2559
|
|
สินทรัพย์รวม (ล้านบาท) | 14,297 | 13,510 | 13,516 |
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ล้านบาท) | 787 | (6) | 655 |
ร้อยละที่เพิ่มขึ้น | 5.8 | (0.0) | 5.1 |
ต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (ล้านบาท) | 11,492 | 11,474 | 11,396 |
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ล้านบาท) | 775 | 78 | 465 |
ร้อยละที่เพิ่มขึ้น | 7.2 | 0.7 | 4.2 |
สำหรับปี 2561 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560 สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนจากการซื้อที่ดินเพิ่มย่านบางนา และ พัทยา อีกทั้งยังมีการพัฒนาโครงการแนวราบในโซนไทรน้อย บางนา และรังสิตซึ่งเป็นเฟสต่อเนื่องเพิ่มเติม รวมถึงพัฒนาโครงการแนวสูงในโซนราชดำริ บางนา และสุขุมวิท เพื่อรองรับการโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคต
สำหรับปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 สินทรัพย์รวมลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากการลดลงในที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และอสังหาริมทรัพย์เพื่อ การลงทุน สุทธิกับรายการที่เพิ่มขึ้นในโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนา เงินมัดจำค่าที่ดิน และลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่น
โดยการลดลงในที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน มีสาเหตุมาจากค่าเสื่อมราคาที่รับรู้ในระหว่างปี และขาดทุนจากการประเมิน มูลค่ายุติธรรม จำนวน 98 ล้านบาท และ 33 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนการเพิ่มขึ้นในโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนาและเงินมัดจำค่าที่ดิน มีสาเหตุมาจากการพัฒนาโครงการแนวราบในโซนบางนา ไทรน้อย และรังสิตเพิ่มเติม และพัฒนาโครงการแนวสูงในโซนราชดำริ และรัตนาธิเบศร์ รวมถึงการซื้อที่ดินเพิ่มเติมย่านบางนา หทัยราษฎร์ รังสิต และบางละมุง ส่วนการเพิ่มขึ้นในลูกหนี้การค้าและลูกหนี้อื่นมีสาเหตุมาจากค่าปรับงานก่อสร้าง ล่าช้าจากผู้รับเหมาก่อสร้าง
ในปี 2559 โครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนใหญ่เนื่องมาจากงานระหว่างพัฒนาการเปิดโครงการใหม่ในปี 2558 หลายพื้นที่ คือ โซนกาญจนาภิเษก - ราชพฤกษ์(ไทรน้อย), วงแหวนฯ - รามอินทรา, วงแหวนฯ - ราชพฤกษ์ (บางบัวทอง), รังสิต, ลาดกระบัง - สุวรรณภูมิฯ และบางนาส่วนขยาย นอกจากนี้ยังมีการซื้อที่ดินรอการพัฒนาเพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียม โซนสุขุมวิทเพิ่มเติม
กระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ถึง 2559 เป็นดังนี้
2561 | 2560 | 2559 | |
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน | 524 | 524 | 695 |
การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สิน | 508 | 508 | -437 |
จ่ายภาษีเงินได้ | -84 | -84 | -51 |
รวมกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน | 948 | 948 | 207 |
กระแสเงินสดจากการลงทุน | -22 | -22 | -77 |
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน | -956 | -956 | -114 |
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้น/-ลดลง สุทธิ | -30 | -30 | 16 |
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดยกมาต้นงวด | 321 | 321 | 306 |
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือปลายงวด | 292 | 292 | 322 |
จากงบกระแสเงินสดข้างต้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีรายการเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ลดลงจากวันที่่ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 จำนวน 206 ล้านบาท เกิดจากผลสุทธิของกิจกรรมการใช้เงินทั้ง 3 กิจกรรม (1) กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนจำนวน 119 ล้านบาท (2) กระแสเงินสด ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 360 ล้านบาท และ (3) กระแสเงินสดได้มา จากการดำเนินงานจำนวน 273 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2560 กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากเงินฝากธนาคารที่มีภาระค้ำประกันลดลง และกระแสเงินสด ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินลดลง เนื่องจากเงินสดรับจากเงินกู้ยืมระยะยาว และระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น สำหรับกระแสเงินสดได้มาจากการ ดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานลดลง สาเหตุ หลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงจากปีที่แล้ว
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีรายการเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ลดลงจากวันที่ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 จำนวน 30 ล้านบาท เกิดจาก ผลสุทธิของกิจกรรมการใช้เงินทั้ง 3 กิจกรรม (1) กระแสเงินสดใช้ไปใน กิจกรรมลงทุนจำนวน 22 ล้านบาท (2) กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 956 ล้านบาท และ (3) กระแสเงินสดได้มาจากการดำเนินงานจำนวน 1,084 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากบริษัทลงทุนในสินทรัพย์ถาวรลดลงจากปีที่แล้ว ส่วนกระแส เงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการจ่ายชำระเงินกู้ยืม ระยะสั้นจากสถาบันการเงินในระหว่างปี โดยเปลี่ยนมาใช้วงเงินกู้ยืมระยาว แทน สำหรับกระแสเงินสดได้มาจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงใน สินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานที่ลดลง สาเหตุหลักมาจากกำไรจากการ ดำเนินงานที่ลดลงจากปีที่แล้ว
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทมีรายการเงินสดและเทียบเท่าเงินสด เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 16 ล้านบาท เกิดจาก (1) การที่บริษัทมีกระแส เงินสดรับจากกิจกรรมดำเนินงาน 207 ล้านบาท (ซึ่งเกิดจากการที่บริษัท ลงทุนไปในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนา และโอนสินทรัพย์ดัง กล่าวได้ในงวดบัญชี) (2) กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุน 77 ล้านบาท เกิดจากการจ่ายเงินซื้อเครื่องจักรเครื่องมือก่อสร้าง และยานพาหนะ (3) กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 114 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ เกิดจากมีการจ่ายชำระเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน, จ่ายต้นทุน ทางการเงินและชำ ระคืนเงินจากการไถถ่ อนห้นุ ก้รู วมเป็นเงินจำนวน 4,132 ล้านบาท ชำระเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน, ชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงินและจ่ายเงินปันผลรวมเป็นเงิน 155 (อย่างไรก็ดีบริษัทได้ออกหุ้นกู้เพิ่มและรับเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการ เงินระหว่างงวดจำนวน 4,174 ล้านบาท)
2561
|
2560
|
2559
|
|
เงินมัดจำที่ดิน (ล้านบาท) | 281 | 292 | 274 |
เพิ่มขึ้น/-ลดลงจากปีก่อน | -11 | 18 | 194 |
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีเงินมัดจำที่ดินลดลงจำนวน 11 ล้านบาท เนื่องมาจากในระหว่างงวดมีการรับโอนที่ดินแปลงใหญ่ในโซนบางนาและ บางละมุง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการวางเงินมัดจำเพิ่มเติมสำหรับที่ดิน ใหม่ที่อยู่ในโซนบางนาส่วนต่อขยาย และบางละมุงเช่นกัน จึงส่งผลให้เงิน มัดจำที่ดินลดลงเล็กน้อย
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีเงินมัดจำที่ดินเพิ่มขึ้นจำนวน 18 ล้านบาท เนื่องมาจากการวางเงินมัดจำสำหรับที่ดินใหม่สำหรับพื้นที่โซน ไทรน้อย และโซนบางละมุง
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทมีเงินมัดจำเพิ่มขึ้น 194 ล้านบาทจาก วันที่ 31 ธันวาคม 2558 เนื่องมาจากการมัดจำที่ดินใหม่สำหรับพื้นที่โซน รังสิต, โซนไทรม้า, โซนบางนาส่วนเพิ่ม
2561
|
2560
|
2559
|
|
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (ล้านบาท) | 452 | 454 | 494 |
เพิ่มขึ้น/-ลดลงจากปีก่อน (ล้านบาท) | -2 | -40 | -41 |
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนลดลงจาก ปีก่อนเล็กน้อย เป็นจำนวน 2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.4 มีสาเหตุ จากจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของกำไรที่เคยรับรู้มาในปีก่อนของคอม มิวนิตี้มอลล์
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนลดลงจากปี ก่อนจำนวน 40 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8 มีสาเหตุจากจากการปรับ มูลค่ายุติธรรมของกำไรที่เคยรับรู้มาในปีก่อนของคอมมิวนิตี้มอลล์จำนวน 32 ล้านบาท และมีการจัดประเภทรายการใหม่จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อ การลงทุนไปเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนาอีกจำนวน 8 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนลดลงจากปี ก่อนร้อยละ 8 ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของกำไรที่เคย รับรู้มาในปีก่อนของคอมมิวนิตี้มอลล์
ในงวดปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนชื่อ พิคาเดลี่ แบงค็อก และ ไลฟ์สไตล์ คลับ (Life Style Club) ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อการลงทุนข้างต้นเป็นศูนย์สรรพสินค้าโดยจัดแบ่งพื้นที่สำหรับให้เช่า บริษัทแสดงอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนด้วยมูลค่ายุติธรรมซึ่งประเมิน โดยผู้ประเมินราคาอิสระโดยใช้เกณฑ์วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) ตามรายงานของผู้ประเมินราคาลงวันที่ 28 ธันวาคม 2561 ข้อสมมติฐานหลักที่ใช้ในการประเมินราคาดังกล่าวประกอบด้วย อัตรา การเช่าพื้นที่ อัตราการเพิ่มค่าเช่า อัตราคิดลด และอัตราผลตอบแทน
2561
|
2560
|
2559
|
|
ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ | 342 | 274 | 400 |
เพิ่มขึ้น/-ลดลงจากปีก่อน | 68 | -126 | -11 |
ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากการจัดประเภทรายการที่ดินใหม่จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ ระหว่างการพัฒนามาเป็นที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 93 ล้านบาท รวมถึงมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มมาขึ้น ทั้งในส่วนของยานพาหนะ และอุปกรณ์เครื่องครัวของร้านอาหาร แต่ในขณะเดียวกันก็ลดลงจาก ค่าเสื่อมราคาที่รับรู้ในระหว่างปี
ที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ลดลงจาก ปีก่อนเนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่รับรู้ในปีจำนวน 98 ล้านบาท รวมถึงการจัด ประเภทรายการใหม่จากที่เคยบันทึกเป็นที่ดินอาคารและอุปกรณ์ ไปบันทึก เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนา จำนวน 55 ล้านบาท ประกอบกับปี 2560 บริษัทลงทุนในสินทรัพย์ถาวรน้อยลงจากปีที่แล้วจึง ทำให้ยอดสุทธิของที่ดินอาคารและอุปกรณ์ลดลง
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2556 คณะกรรมการได้มีมติอนุมัติให้บริษัท ("ผู้เช่า") ทำสัญญาเช่าเพื่อเช่าที่ดิน ("ทรัพย์ที่เช่า") จากคณะกรรมการของบริษัทสอง ท่าน ("ผู้ให้เช่า) เพื่อนำ มาก่อสร้างอาคารสำหรับใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท สัญญาเช่านี้มี ระยะเวลา 10 ปี นับจากวันที่จดทะเบียนการเช่า
ณ ปัจจุบัน บริษัทและผู้ให้เช่าที่ดินที่ตั้งสำนักงานใหญ่ได้มีข้อสรุปเป็นการ ชัดเจนว่าผู้ให้เช่าและผู้เช่ายินยอมตกลงต่ออายุสัญญาเช่าออกไปได้อีก 10 ปี ส่วนเรื่องการกำหนดราคาค่าเช่าในปีที่ 11 ถึงปี ที่ 20 จะตกลงค่าเช่ากัน ใหม่ในราคาตลาดหรือราคาที่เหมาะสมต่อไป และหากผู้เช่าประสงค์ที่จะ เช่าที่ดินต่อไปอีก 10 ปี ผู้เช่าต้องแจ้งเป็นหนังสือล่วงหน้าตามที่ระบุใน บันทึกข้อตกลง เมื่อครบกำหนดอายุการเช่าหรือครบกำหนดอายุสัญญา เช่าที่จะได้มีการต่ออายุกันออกไปไม่ว่ากี่คราวก็ตาม หรือสัญญาได้เลิกกัน โดยความผิดของผู้เช่า ผู้เช่าจะต้องจัดการทรัพย์ที่เช่าให้กลับคืนสภาพ เดิมเสมือนก่อนมีการเช่า และจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่สร้าง บนทรัพย์ที่เช่า หากครบกำหนดระยะเวลาแล้ว ผู้เช่าไม่รื้อถอนและขนย้าย ทรัพย์สินออกไป หรือรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินยังไม่แล้วเสร็จภายใน เวลาดังกล่าว ผู้เช่าตกลงให้สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตกเป็นส่วนควบของที่ดิน ทรัพย์ที่เช่ารวมถึงทรัพย์สินที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างและในทรัพย์ที่เช่าตกเป็น กรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทันทีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากนี้หากผู้ให้เช่า ไม่ประสงค์รับสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้ ผู้เช่ายังต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย ต่างๆ เช่น ค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ให้เช่าตามที่ระบุในบันทึกข้อตกลง
การยินยอมต่ออายุสัญญาเช่าดังกล่าวออกไปอีก 10 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้เกิดความชัดเจนและประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและอายุสัญญาเช่าของสัญญาเช่าดังกล่าว ไม่มีผลกระทบอย่างเป็นสาระสำคัญต่องบการเงินของบริษัท
ณ 31 ธันวาคม 2558 สิ่งปลูกสร้างรวมถึงทรัพย์สินที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้าง และในทรัพย์ที่เช่า ซึ่งบันทึกไว้ในหมวดที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ในงบแสดง ฐานะการเงิน ได้ถูกจัดประเภทรายการใหม่ (Reclassify) เป็น อาคารบน ที่ดินเช่า และเปลี่ยนชื่อเป็นค่าเช่าจ่ายล่วงหน้าในปี 2559 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทได้แก้ไขหมายเหตุประกอบงบการเงินเรื่องนโยบายการบัญชีที่สำคัญ ในหัวข้ออาคารบนที่ดินเช่า เปลี่ยนเป็น "ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า" ตามอายุของ อาคารบนที่ดินเช่าที่คาดว่าจะให้ประโยชน์ 20 ปี" แล้ว
ณ 31 ธันวาคม 2561 ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้าตามงบการเงินรวมสำหรับปีสิ้น สุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 และ 2560 มียอด 128ล้านบาท และ 136 ล้านบาท ตามลำดับ ลดลงจำนวน 8 ล้านบาท ด้วยรายการค่าเช่าจ่ายล่วงหน้าตัด จำหน่ายในระหว่างปีซึ่งรวมอยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายในการบริหาร โดยเปิด เผยรายการนี้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 15 ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า และข้อที่ 34 ค่าใช้จ่ายในการบริหารโดยจัดประเภทเป็นค่าเสื่อมราคาและ ตัดจำหน่าย และบริษัทจะจัดประเภทรายการตัดจำหน่ายค่าเช่าจ่ายล่วง หน้า เป็นค่าเช่าให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีและมาตรฐานรายงาน ทางการเงินที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในงบการเงินประจำปี 2561
อย่างไรก็ตาม หากมีการแก้ไขปรับปรุงรายการจากค่าเสื่อมราคาและตัด จำหน่ายไปเป็นรายการค่าเช่า จำนวนของค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่าย ที่เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่ 34 สำหรับปี 2561 จะเพิ่ม ขึ้นจาก 57 ล้านบาทเป็น 65 ล้านบาท และ สำหรับปี 2560 จะเพิ่มขึ้นจาก 53 ล้านบาทเป็น 57 ล้านบาท ส่วนรายการค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นด้วยจำนวนที่ ปรับปรุง ทำให้กำไรขาดทุนในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จยังคงเท่าเดิม
สำหรับงบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม ปี 2561, ปี 2560 และปี 2559 มี รายการค่าเช่าจ่ายล่วงหน้าดังตารางด้านล่างนี้ (โดยปรับลดลงจากการตัดจำหน่ายค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า)
2561
|
2560
|
2559
|
|
อาคารบนที่ดินเช่า | 136 | 136 | 145 |
เพิ่มขึ้น/-ลดลงจากปีก่อน | -9 | -9 | -8 |
ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญประเมินโดยการวิเคราะห์ประวัติการชำระหนี้ และ การคาดการณ์เกี่ยวกับการชำระหนี้ในอนาคตของลูกค้า ลูกหนี้จะถูกตัด จำหน่ายบัญชีเมื่อทราบว่าเป็นหนี้สูญ
อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561, 2560 และ 2559 เท่ากับร้อยละ 2.11, 2.98 เท่า และ 4.38 เท่า ตามลำดับ เนื่องจากในปี 2561 บริษัทมีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2560 จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทน จากสินทรัพย์ลดลง
2561
|
2560
|
2559
|
|
หนี้สินรวม | 10,965 | 10,169 | 10,201 |
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน | 796 | (32) | 430 |
เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน | 417 | 347 | 1,546 |
ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี | 1,564 | 301 | 492 |
หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี | 2,031 | 1,000 | 3,000 |
เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน | 878 | 1,342 | 214 |
หุ้นกู้ | 4,337 | 5,976 | 3,990 |
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทมีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจากปี 2560 จำนวน 796 ล้านบาท โดยหลักมาจากเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้น สุทธิ 799 ล้านบาท จากการกู้ยืมเพิ่มในระหว่างปี รวมถึงเงินเบิกเกินบัญชี และเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนตั๋วแลกเงิน ในช่วงปลายปี ในขณะเดียวกันในระหว่างปี 2561 มีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ครบ กำหนดเป็นจำนวน 1,031 ล้านบาท และออกหุ้นกู้ทดแทนในระหว่างปีเป็นจำนวน 417 ล้านบาท ส่งผลให้หุ้นกู้ลดลงจากปี 2560
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีหนี้สินรวมลดลงจากปี 2559 จำนวน 32 ล้านบาท โดยภาพรวมแล้วหนี้สินรวมของปี 2560 และ 2559 ไม่แตกต่างกันมาก แต่ในปี 2560 มีการเปลี่ยนแปลงแหล่งจัดหาเงินทุน โดยลดสัดส่วน ของเงินก้ยู ืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน และเพิ่มส่วนของเงินก้ยู ืมระยะยาว แทนเพราะสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้ดีกว่า ด้วยสาเหตุ นี้ทำให้ในระหว่างปีมีการจ่ายชำระเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน เป็นจำนวนมากและเพิ่มการกู้ยืมในเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน
ส่วนของหุ้นกู้ ในระหว่างปี 2560 มีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ก็มีการออกหุ้นกู้ทดแทนในระหว่างปีอีก 2,997 ล้านบาท ดังนั้นยอดหุ้นกู้ของปี 2560 และ 2559 จึงไม่มียอดแตกต่างกัน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทมีหนี้สินรวมที่เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 430 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากในเดือน เมษายน 2559 มีการออกหุ้นกู้ เพิ่มจำนวน 1,353 ล้านบาท (ครบกำหนดและไถ่ถอน 511 ล้านบาท) และ ในเดือนตุลาคม 2559 ออกหุ้นกู้เพิ่มจำนวน 1,647 ล้านบาท (ครบกำหนด และไถ่ถอน 1,000 ล้านบาท) อย่างไรก็ดีได้มีการชำระเงินเบิกเกินบัญชีและ เงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงินทำให้หนี้สินลดลงจำนวน 64 ล้านบาท มีเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินสุทธิลดลงจำนวน 919 ล้านบาท และ มีการชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงิน จำนวน 52 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจาก สถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 70 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20 โดยหลักมาจากการลงทุนตั๋วแลกเงินทดแทนตั๋วแลกเงินเดิมที่ครบกำหนด ไปในระหว่างปี
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจาก สถาบันการเงินลดลงจากปีก่อน 1,199 ล้านบาท เนื่องมาจากการชำระ คืนในระหว่างปี รวมถึงการลดการกู้ยืมในส่วนนี้ลง โดยเฉพาะส่วนของตั๋ว สัญญาใช้เงิน และใช้แหล่งเงินทุนที่ได้จากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการ เงินแทน เพราะสามารถบริหารสภาพคล่องทางการเงินได้ดีกว่า
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจาก สถาบันการเงินลดลงจากปีก่อนจำนวน 64 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 โดย ส่วนใหญ่เกิดจากตั๋วสัญญาใช้เงินลดลง
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินเพิ่ม ขึ้นจำนวน 799 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าสิ้นปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงแหล่งจัดหาเงินทุน โดยมาลงทุนในส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาว แทน เพื่อการบริหารสภาพคล่องที่ดีขึ้น โดยมีการกู้ยืมเพิ่มในปีนี้จำนวน 3,041 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าการกู้ยืมในปีที่แล้ว และชำระคืนในระหว่างปี อีก 2,242 ล้านบาท ส่งผลให้เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินสุทธิแล้ว สูงขึ้นจากปีที่แล้ว
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินเพิ่ม ขึ้นจำนวน 937 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าสิ้นปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงแหล่งจัดหาเงินทุน โดยลดสัดส่วนของเงินกู้ยืมระยะสั้นจาก สถาบันการเงินลง และเพิ่มส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวแทนเพื่อการบริหาร สภาพคล่องที่ดีขึ้น โดยมีการกู้ยืมเพิ่มในปีนี้จำนวน 2,723 ล้านบาท ซึ่ง มากกว่าการกู้ยืมในปีที่แล้ว และชำระคืนในระหว่างปีอีก 1,786 ล้านบาท เป็นผลให้เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินสุทธิแล้วสูงขึ้นจากปีที่แล้ว
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 เงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินสุทธิลดลง จำนวน 919 ล้านบาท จากปี 2558 หรือ ร้อยละ 57 เกิดจากการรับรู้ราย ได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่มากขึ้นทำให้สามารถนำเงินดังกล่าวมาจ่าย ชำระเงินกู้ยืมระยะยาวได้มากขึ้น อีกทั้งในเดือนเมษายน 2559 และเดือน ตุลาคม 2559 บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมจำนวน 1,353 ล้านบาท และ 1,647 ล้านบาทตามลำดับ เพื่อนำมาชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ไถ่ถอน และชำระเงินกู้ยืมระยะยาวดังกล่าวบางส่วนเนื่องจากหุ้นกู้มีต้นทุน ทางการเงินที่ต่ำกว่า
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ยอดหุ้นกู้มีจำนวน 6,368 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 608 ล้านบาท โดยในระหว่างปีมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดจำนวน 1,000 ล้านบาท และทยอยชำระเงินต้นของหุ้นกู้ชุดที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดทยอยชำระคืนเงินต้น ที่ออกในปี 2560 อีกจำนวน 31 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้ในระหว่างปีอีก 2 รุ่น จำนวน 250 ล้านบาท และ 167 ล้านบาทในเดือน ตุลาคม และ พฤศจิกายน 2561 รวมเป็น 417 ล้านบาท สำหรับปี 2561 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 250 ล้านบาท (จำนวน 250,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อ ผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนใน วันที่ 19 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นการออกทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน ในปี 2561 จำนวน 1,000 ล้านบาท ที่ไถ่ถอนแล้วครบทั้งจำนวน
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 166.6 ล้านบาท (จำนวน 166,600 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนด ไถ่ถอนในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งเป็นการออกใหม่
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ยอดหุ้นกู้มีจำนวน 6,976 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อยที่ 14 ล้านบาท โดยในระหว่างปีมีการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดจำนวน 3,000 ล้านบาท และมีการออกหุ้นกู้ทดแทนในระหว่าง ปีอีก 2,997 ล้านบาท สำหรับปี 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้ตาม รายละเอียดดังต่อไปนี้
เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 654.5 ล้านบาท (จำนวน 654,500 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอน ในวันที่ 31 มกราคม 2563
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 1,500 ล้านบาท (จำนวน 1,500,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ชนิด มีประกัน และผู้ออกหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนได้ก่อนครบ กำหนด ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 5 เมษายน 2563
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2560 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 842.3 ล้านบาท (จำนวน 842,300 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอน ในวันที่ 30 เมษายน 2564
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ยอดหุ้นกู้มีจำนวน 6,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2558 จำนวน 1,484 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 เนื่องจากวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2559 มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ทุกประเภทชนิดระบุชื่อผู้ถือหรือไม่ระบุชื่อวงเงินรวม ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท โดยจะออกและเสนอขายเพียงชุดเดียวหรือหลาย ชุดในคราวเดียวกัน หรือหลายครั้งก็ได้
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 646.8 ล้านบาท (จำนวน 646,800 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอน ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2562
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 บริษัทได้ออกจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 1,000 ล้านบาท (จำนวน 1,000,000 หน่วย หน่วยละ 1,000 บาท) เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้บริษัทสามารถไถ่ถอนได้ก่อนครบกำหนด ในขณะเดียวกันมีหุ้นกู้ที่จะถึงครบกำหนดชำระจำนวน 1 รุ่น ชื่อหุ้นกู้ของ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2558 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2559 จำนวน 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ไถ่ถอนครบทั้งจำนวนแล้ว ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2559
โดยในวันที่ 1 เมษายน 2559 บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้เพิ่มจำนวน 1 รุ่น ชื่อหุ้นกู้ของบริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2559 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2562 จำนวน 1,353 ล้านบาท ในขณะเดียวกันมีหุ้นกู้ที่จะถึงครบกำหนดชำระจำนวน 1 รุ่น ชื่อหุ้นกู้ของ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2556 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2559 จำนวน 511 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ไถ่ถอนครบทั้งจำนวนแล้ว ณ วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559
2561
|
2560
|
2559
|
|
ตั๋วแลกเงินระยะสั้น | 131 | 70 | 1,402 |
เพิ่มขึ้น/-ลดลงจากปีก่อน | 61 | -1,332 | 122 |
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ตั๋วแลกเงินระยะสั้นมีจำนวน 131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61 ล้านบาท จากปี 2560 โดยหลักมาจากการลงทุนตั๋วแลกเงิน ทดแทนตั๋วแลกเงินเดิมที่ครบกำหนดไปในระหว่างปี เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ตั๋วแลกเงินระยะสั้นมีจำนวน 70 ล้านบาท ลดลง 1,332 ล้านบาทจากสิ้นปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลง แหล่งจัดหาเงินทุน โดยลดสัดส่วนของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินลง และเพิ่มส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวแทนเพื่อการบริหารสภาพคล่องที่ดี ขึ้น ทำให้ในระหว่างปีมีการชำระคืนตั๋วแลกเงินระยะสั้นจำนวนมาก และลด การกู้ยืมในส่วนนี้ลง
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีตั๋วแลกเงินระยะสั้นเพิ่มขึ้นจำนวน 122 ล้านบาท จากปี 2559 หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท เนื่องจากตั๋วแลกเงินระยะสั้น มีอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าอัตราดอกเบี้ย การกู้ยืมธนาคารและเป็นการกู้ที่ไม่มีหลักประกัน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมีจำนวน 3,332 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2560 จำนวน 8 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับปีจำนวน 31 ล้าน บาท และส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเนื่องมาจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างปี 2561 จำนวน 39 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมีจำนวน 3,340 ล้าน บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จำนวน 26 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 เกิดจากการ เพิ่มขึ้นของกำไรสำหรับปี 2560 จำนวน 98 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น ลดลงเนื่องมาจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างปี 2560 จำนวน 49 ล้านบาท และมีรายการผลขาดทุนจากการประมาณการตามหลักคณิตศาสตร์ จำนวน 23 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนสมมติฐานในการคำนวณหนี้ สินผลประโยชน์พนักงาน อย่างไรก็ตาม โดยรายการนี้แสดงอยู่ในงบกำไร ขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นและไม่มีผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นของบริษัท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทมีจำนวน 3,314 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 224 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 เกิดจากการเพิ่ม ขึ้นของกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมสำหรับปีจำนวน 263 ล้านบาท และมีการ จ่ายเงินปันผลระหว่างปี 2558 จำนวน 39 ล้านบาท
2561
|
2560
|
2559
|
|
กระแสเงินสดจากการดำ เนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงใน สินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน | 364 | 524 | 695 |
การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สิน | -27 | 644 | -437 |
จ่ายภาษีเงินได้ | -64 | -84 | -51 |
รวมกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน | 273 | 1,084 | 207 |
กระแสเงินสดรวมจากการดำเนินงานปี 2561 ลดลงจากปีที่แล้ว สาเหตุ หลักมาจากเงินสดรับจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนา ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงจาก ปีก่อน ถึงแม้จะมีเงินสดรับจากลูกหนี้การค้าและเงินมัดจำที่เพิ่มขึ้น แต่เป็น สัดส่วนที่น้อยกว่า จึงส่งผลให้ในภาพรวมของกระแสเงินสดรวมจากการ ดำเนินงานของลดลงจากปีที่แล้ว
2561
|
2560
|
2559
|
|
กระแสเงินสดจากการลงทุน | -119 | -158 | -77 |
กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนในปี 2561 ที่ลดลงจากปี 2560 มีสาเหตุ หลักเงินฝากธนาคารที่ใช้ค้ำประกันสำหรับวงเงินหนังสือค้ำประกันถึงครบ กำหนดและปลอดภาระในระหว่างปีกว่า 35 ล้านบาท จึงส่งผลให้กระแส เงินสดใช้ไปในการลงทุนลดลง
2561
|
2560
|
2559
|
|
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน | -3,560 | -956 | -114 |
กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินในปี 2561 ที่ลดลงจากปี 2560 มี สาเหตุหลักมาจากเงินสดรับสุทธิจากเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน 799 ล้านบาท และเงินสดรับจากเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้น 70 ล้านบาท อย่างไรก็ตามระหว่างปี สัดส่วนในการจ่ายชำระคืนหุ้นกู้สูงกว่า เงินสดรับจากการออกหุ้นกู้ ส่งผลให้มีการจ่ายชำระคืนหุ้นกู้สุทธิ 617 ล้าน จ่ายชำระต้นทุนทางการเงิน 554 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผล 39 ล้านบาท ซึ่งในภาพรวมเงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงินนั้นน้อยกว่าปี 2560
ณ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทมีกระแสเงินสดจ่ายใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 956 ล้านบาท เกิดจากการจ่ายชำระเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการ เงินจำนวน 1,200 ล้านบาท จ่ายชำระต้นทุนทางการเงินจำนวน 595 ล้านบาท และการจ่ายเงินปันผลจำนวน 49 ล้านบาท ในขณะที่สัดส่วนในการจ่าย ชำระคืนหุ้นกู้สูงกว่าเงินสดรับจากการออกหุ้นกู้ ส่งผลให้มีการจ่ายชำระ คืนหุ้นกู้สุทธิอยู่ที่ 21ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทมีเงินสดรับจากเงินกู้ ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน 938 ล้านบาท ทำให้เงินสดสุทธิ ใช้ไปใน กิจกรรมจัดหาเงินปีนี้สูงกว่าปีที่ผ่านมา
ณ 31 ธันวาคม 2559 บริษัทมีกระแสเงินสดจ่ายใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 114 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากมีการจ่ายชำระเงินกู้ยืมระยะ ยาวจากสถาบันการเงิน, จ่ายต้นทุนทางการเงินและชำระคืนเงินจากการ ไถ่ถอนหุ้นกู้รวมเป็นเงินจำนวน 4,132 ล้านบาท ชำระเงินเบิกเกินบัญชีและ เงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน, ชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการ เงินและจ่ายเงินปันผลรวมเป็นเงิน 155 ล้านบาท (อย่างไรก็ดีบริษัทได้ออก หุ้นกู้เพิ่มและรับเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินระหว่างงวดจำนวน 4,174 ล้านบาท)
การวิเคราะห์อัตราส่วนสภาพคล่อง
บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่อง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เท่ากับ 2.21 เท่า และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เท่ากับ 4.75 เท่า โดยลดลง 2.54 เท่า เนื่องจากบริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น สาเหตุหลักมาจาการเพิ่มขึ้น ของหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่ถึงกำหนดชำระในหนึ่ง ปี โดยหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระในหนึ่งปีเพิ่มขึ้นจาก 1,031 ล้านบาทในปีก่อน มาเป็น 2,031 ล้านบาท ส่วนเงินก็ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินที่ถึง กำหนดชำระในหนึ่งปีเพิ่มขึ้นจาก 611 ล้านบาทในปีก่อน มาเป็น 1,564 ล้านบาท ด้วยสาเหตุดังกล่าว จึงทำให้หนี้สินหมุนเวียนปี 2561 เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนสภาพคล่องลดลง
บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 เท่ากับ 0.08 เท่า และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เท่ากับ 0.23 เท่า โดยลดลง 0.15 เท่า ด้วยสาเหตุที่กล่าวไว้ย่อหน้าข้างต้น ทำให้บริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนเพิ่ม ขึ้นเป็นจำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบจากปีที่แล้ว และส่งผลให้อัตราส่วน สภาพคล่องหมุนเร็วลดลงจากสิ้นปีที่แล้ว
บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่อง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เท่ากับ 4.75 เท่า และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 เท่ากับ2.07 เท่า โดยเพิ่มขึ้น 2.68 เท่า เนื่องมาจากบริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนลดลง สาเหตุหลักมาจากการลดลง ของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน และหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระในหนึ่ง ปี โดยเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินลดลงจากการจ่ายชำระคืนใน ระหว่างปี และลดการกู้ยืมในส่วนนี้โดยใช้เงินทุนจากเงินกู้ยืมระยะยาวแทน ส่วนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระในหนึ่งปีลดลงเนื่องมาจากมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ไถ่ถอนภายในหนึ่งปีของปี 2559 จำนวน 3,000 ล้านบาท ในขณะที่หุ้นกู้ที่ จะครบกำหนดภายในหนึ่งปีของปี 2560 นั้นมีเพียง 1,000 ล้านบาท ด้วย สาเหตุดังกล่าว จึงทำให้หนี้สินหมุนเวียนสำหรับปี 2560 ลดลง และส่งผล ต่ออัตราส่วนสภาพคล่องที่เพิ่มสูงขึ้น
บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เท่ากับ 0.23 เท่า และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 เท่ากับ 0.11 เท่า โดยเพิ่มขึ้น 0.12 เท่า ด้วยสาเหตุที่กล่าวไว้ย่อหน้าข้างต้น ทำให้บริษัทมีหนี้สินหมุนเวียนลดลง จำนวนมากเมื่อเปรียบเทียบจากปีที่แล้ว และส่งผลให้อัตราส่วนสภาพ คล่องหมุนเร็วดีขึ้นจากสิ้นปีที่แล้ว
บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่อง 2.07 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ลดลง จาก 2.44 เท่า ในปี 2558 เนื่องจากหนี้สินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจำนวน 1,152 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 25 สาเหตุหลักจากหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระภายใน หนึ่งปีเพิ่มขึ้นจำนวน 1,491 ล้านบาท
การวิเคราะห์อัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ย
บริษัทมีอัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ยเป็น 1.29 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 และ 1.55 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 โดยลดลง 0.26 เท่า ทั้งนี้ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยเกิดจาก กำไรก่อนหักดอกเบี้ย และภาษีเงินได้จากการดำเนินงานหารด้วยต้นทุนทางการเงิน ซึ่งในปี 2561 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเงินได้จากการดำเนินงานน้อยกว่า ปี 2560 จำนวน 109 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 27 แม้ว่าที่ต้นทุนทางการ เงินปี 2561 น้อยกว่าปี 2560 จำนวน 33 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13 ด้วยสัดส่วนของกำไรที่ลดลงมากกว่าต้นทุนการเงินที่ลดลงในปี ทำให้ อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยในปี 2561 ลดลงจากปี 2560
ในขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ย (Cash Basis) เป็น 0.49 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 และ 1.82 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 โดยลดลง 1.33 เท่า เนื่องจากปี 2561 บริษัทมีกระแสเงินสดได้มา จากการดำเนินงานจำนวน 273 ล้านบาท โดยลดลง 811 ล้านบาทจากปี 2560 โดยหลักกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลงมาจากเงินสดรับ จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างการพัฒนาที่ลดลง
บริษัทมีอัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ยเป็น 1.82 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 และ 0.50 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 โดยเพิ่มขึ้น 1.32 เท่า ทั้งนี้ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยเกิดจาก กำไรก่อนหักดอกเบี้ย และภาษีเงินได้จากการดำเนินงานหารด้วยต้นทุนทางการเงิน ซึ่งในปี 2560 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเงินได้จากการดำเนินงานน้อยกว่าปี 2559 จำนวน 175 ล้านบาทหรือลดลงร้อยละ 30 ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินปี 2560 มากกว่าปี 2559 จำนวน 23 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ด้วย สัดส่วนของกำไรที่ลดลงแต่ต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ทำให้อัตราส่วน ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยในปี 2560 ลดลงจากปี 2559
การวิเคราะห์อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็น 3.29 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 และ 3.04 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีสาเหตุมาจาก หนี้สินของบริษัทที่เพิ่มขึ้นและส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลดลงเล็กน้อยในปีนี้ โดย หนี้สินของบริษัทที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นเงินกู้ยืมระยะยาวจาก สถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นระหว่างปี
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็น 3.04 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 และ 3.08 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ทั้งนี้การ ลดลงของอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีสาเหตุมาจาก หนี้สินของบริษัทที่ลดลงและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยหนี้สิน ของบริษัทที่ลดลงเป็นผลมาจากการลดลงของหนี้สินระยะสั้นและระยะยาว จากสถาบันการเงิน รวมทั้งหนี้สินจากสัญญาเช่าการเงินที่ลดลงจากการ ชำระคืนในระหว่างปี
บริษัทมีหน้าที่ตามข้อกำหนดสิทธิที่จะต้องดำรงหนี้สินสุทธิต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้นไว้ไม่ให้เกิน 3:1 เท่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในข้อกำหนด สิทธิข้อ 6.2 หน้าที่ที่ผู้ออกหุ้นกู้ต้องปฏิบัติ ข้อ 6.2.11 เงื่อนไขทางการเงิน บริษัทได้ดำรงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 2.69 เท่า สำหรับหุ้นกู้ของ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2558 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2561 ที่ผู้ออกหุ้นกู้สามารถไถ่ถอนได้ ก่อนครบกำหนด ปัจจุบันหุ้นกู้รุ่นดังกล่าวได้ไถ่ถอนครบทั้งจำนวนแล้วใน วันที่ 19 ตุลาคม 2561
ดังนั้น บริษัทมีหน้าที่ตามข้อกำหนดสิทธิที่จะต้องดำรงหนี้สินสุทธิต่อส่วน ของผู้ถือหุ้นไว้ไม่ให้เกิน. 3:1 เท่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในข้อกำหนด สิทธิข้อ 6.2 หน้าที่ที่ผู้ออกหุ้นกู้ต้องปฏิบัติ ข้อ 6.2.11 เงื่อนไขทางการเงิน ระบุให้หนี้สินสุทธิที่นำมาคำนวณต้องหักด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่า เงินสด เงินลงทุนชั่วคราว และเงินฝากธนาคารที่มีภาระค้ำประกัน สำหรับ หุ้นกู้ ได้แก่
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561 บริษัทได้ดำรงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วน ของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 2.69 เท่า สำหรับหุ้นกู้ ข้อ 1) – ข้อ 4) และ ข้อ 6) – ข้อ 12) ตามหน้าที่ในข้อกำหนดสิทธิฯข้อ 6.2.11) และสำหรับหุ้นกู้ข้อ 5) ตาม หน้าที่ในข้อกำหนดสิทธิฯ ข้อ 7.2.12) เงื่อนไขทางการเงิน ระบุให้หนี้สิน สุทธิที่นำมาคำนวณต้องหักด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงิน ลงทุนชั่วคราว และเงินฝากธนาคารที่มีภาระค้ำประกัน
อย่างไรก็ตามบริษัทได้เตรียมมาตรการทางการเงินรองรับดังนี้ คือ 1) แผน เพิ่มทุน 2) แผนการชำระคืนหนี้สถาบัน การเงินบางส่วน และ 3) แผนการ คืนตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและหรือระยะยาวบางส่วน เพื่อดำรงอัตราส่วน ดังกล่าว และบริษัท ยังมีนโยบายที่จะรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือ หุ้นรวม และโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 4) เร่งการขาย และ การโอนกรรมสิทธิ์โครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนทั้งโครงการแนวราบและ โครงการแนวสูง ด้วยการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ โครงการเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย ในการบริหารอย่างเหมาะสมบริษัทคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเพิ่มยอด รับรู้รายได้ และลดค่าใช้จ่ายลง ทำให้กำไรของบริษัทสูงขึ้นและอัตราส่วน หนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวลดลงและโครงสร้างเงินทุนอยู่ใน สัดส่วนที่เหมาะสม
CALL.1797 |
© COPYRIGHT 2012, AREEYA PROPERTY PLC. |